วันที่ 30 เมษายน 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ภารกิจพลิกฟื้นเศรษฐกิจ: Mission Thailand” โดยได้แสดงความคิดเห็นต่อกรณีที่บริษัท มูดี้ส์ เรทติ้งส์ ปรับลดมุมมองความน่าเชื่อถือของไทยจาก Stable เป็น Negative ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้อธิบายว่า การประเมินดังกล่าวไม่ใช่การให้คะแนนหรือเรตติ้งโดยตรง แต่เป็นเพียงมุมมองของมูดี้ส์ที่มองว่าศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยมีแนวโน้มลดลง
นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงว่า การปรับลดมุมมองนี้ไม่ได้หมายความว่าประเทศไทยขาดความเชื่อมั่น แต่เป็นผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่สำคัญ เช่น การขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก โดยหลายประเทศก็ถูกปรับลดมุมมองเป็น Negative เช่นเดียวกัน ทั้งนี้ กระทรวงการคลังกำลังติดตามสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด
“มูดี้ส์ได้ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีความอ่อนแอหรือไม่ ศักยภาพการเติบโตมีมากน้อยเพียงใด เมื่อต้องเผชิญกับกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อนโยบายของเรามากน้อยเพียงใด รวมถึงความขัดแย้งทางการเมืองที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนนโยบายและเศรษฐกิจหรือไม่” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกรัฐมนตรียอมรับว่า สิ่งที่ประเทศไทยต้องดำเนินการเป็นอันดับแรกคือ การสร้างความมั่นใจและลดความกังวลให้กับนักลงทุนและสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ รัฐบาลต้องเตรียมมาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ท้าทาย และพยายามลดผลกระทบจากกำแพงภาษี ในขณะเดียวกัน ต้องมองไปข้างหน้าและมุ่งเน้นการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศให้เข้ามาในไทยอย่างเป็นรูปธรรม
นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่ไทยได้ลงทุนไปแล้ว เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์ และเซมิคอนดักเตอร์ โดยกล่าวว่าการลงทุนในภาคส่วนเหล่านี้จะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนและสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
“สิ่งที่เราต้องทำให้ได้คือการสร้างความมั่นใจว่า GDP ของไทยจะเติบโตในอัตรา 3-4% อย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ ไม่ใช่เพียงแค่เติบโตในปีนี้แล้วลดลงในปีถัดไป” นายกรัฐมนตรีกล่าว “เราต้องทำงานอย่างเต็มที่และสิ่งที่ต้องดำเนินการต่อไปคือการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ ผ่านการส่งเสริมการลงทุนในรูปแบบต่างๆ”
นายกรัฐมนตรีอธิบายว่า เมื่อรัฐบาลให้การสนับสนุนการลงทุนใหม่ๆ บริษัทต่างชาติจะเข้ามาจดทะเบียนการลงทุนในประเทศไทย ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของเม็ดเงินลงทุนและยังช่วยจูงใจให้นักลงทุนรายอื่นๆ เข้ามาลงทุนในประเทศเพิ่มเติม โดยรัฐบาลได้พยายามผลักดันนโยบายดังกล่าวอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่ปีที่ผ่านมา
ในส่วนของภาครัฐ นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่ารัฐบาลได้เร่งการลงทุนตลอดปี 2567 มากที่สุดในรอบ 10 ปี โดยที่ร้อยละ 72 เป็นการลงทุนจากภาครัฐ ซึ่งมีเป้าหมายหลักในการสร้างการจ้างงาน ทุกกระทรวงที่ได้รับงบประมาณมาได้ดำเนินการจ้างงานอย่างเต็มที่ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเพิ่มการลงทุนในด้านการวิจัยและการศึกษา “เราต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ให้ดียิ่งขึ้น ทั้งในภาคประมง ภาคอุตสาหกรรม และภาคการเกษตร ทุกภาคส่วนต้องได้รับการลงทุนด้านการวิจัยให้มากขึ้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว “และที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนาศักยภาพของคน ซึ่งถือเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของประเทศ”
นายกรัฐมนตรีได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2567 ว่า แม้จะเติบโตช้า โดยมี GDP ทั้งปีอยู่ที่ร้อยละ 2.5 แต่ในไตรมาสสุดท้ายของปี ตัวเลขได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.2 ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเริ่มส่งผลในทางบวกและมีความต่อเนื่อง แม้ว่าประเทศจะต้องเผชิญกับอุปสรรคต่างๆ ทั้งภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหว และมาตรการกีดกันทางการค้าในรูปแบบของกำแพงภาษี
“รัฐบาลพยายามหาทางออกและมีการพูดคุยกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ” นายกรัฐมนตรีกล่าว “เพราะเราเชื่อเสมอว่า ในหลายๆ ด้าน ภาครัฐอาจจะไม่มีความเชี่ยวชาญเพียงพอ แต่เราสามารถเป็นผู้สนับสนุนให้ภาคเอกชนสามารถทำงานร่วมกับภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
ในประเด็นเรื่องกำแพงภาษี นายกรัฐมนตรีได้ยกตัวอย่างว่า รัฐบาลควรสำรวจว่าภาคเอกชนไทยที่ลงทุนในสหรัฐอเมริกามีบริษัทใดบ้าง และรัฐบาลสามารถให้ความช่วยเหลือได้ในรูปแบบใด ซึ่งรัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะให้การสนับสนุนในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง
“ที่ผ่านมา ประเทศไทยยังไม่มีนโยบายโดยตรงที่จะช่วยส่งเสริมให้นักลงทุนไทยไปลงทุนในต่างประเทศ ดังนั้น เราจึงต้องมุ่งเน้นการพัฒนานโยบายในด้านนี้ให้มากขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับภาคเอกชนและเสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว” นายกรัฐมนตรีกล่าวในตอนท้าย